วันเสาร์ที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2562
วันจันทร์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2562
"อารามโสภา" กำพร้าพญานาคคุ้ม หรือนิทานแม่ปลาบู่ทองของอินเดีย
😇นางอารามโสภา จากเรื่อง เดอะ เมจิก โกรฟว์ The Magic Grove ในหนังสือการ์ตูนรวมนิทานของลัทธิเ ชน Jain Stories ของสำนักพิมพ์อมรจิตรคาถา Amar Chitra Katha สำนักพิมพ์นิทานการ์ตูนในประเทศอินเดีย (ซึ่งในเล่มมีเรื่อง Vidyut Chora, The Magic Grove, The Adventures of Agad Datta, Sahasramalla& The King in a Parrot's Body เรียกว่า FABLES AND HUMOUR 5 IN 1 PACK หมายถึงนิทานร่วม 5 เรื่องในเล่มเดียว สั่งซื้อได้ที่เว็บไซต์ https://www.amarchitrakatha.com/int/ มีฉบับแปลอังกฤษด้วย)
😇 ซึ่งในนิทานเชนหรือไชนะสามีนางอารามโสภาลงโทษแม่เลี้ยงใจร้าย และน้องสาวที่ปลอมเป็นนางแล้วก็อยู่กันอย่างมีความสุขแบบเรื่องปลาบู่ทองของไทย ตามอย่างเจ้าหญิงเจ้าชายตามขนบนางซินเดอเรลล่าของทั่วโลก
😇แต่นิทานปุราณะของฮินดูกลับมีเรื่องต่อไปอีกว่า กล่าวว่าสามีนางอารามโสภาใช้พรที่นางอามารมโสภาได้รับจากพระเจ้าหรือพญานาคให้มีร่มไม้วิเศษเคลื่อนที่ปกคลุมไม่ให้นางได้รับความร้อนจากแดด (ไทยคือต้นโพธิ์เงินโพธิ์ทอง) ไปสร้างนครในทะเล และคอยยกทัพบุกตีปล้นบ้านเมือง ต่าง ๆ เสร็จแล้วก็ยกทัพหนีไปที่นครกลางน้ำ (แพไม้?) จนร่ำรวย กลายเป็นอสูรร้าย และปรปักษ์ของพระเจ้า จนทำให้พระเจ้าโกรธ พระวิษณุจึงใช้จักรทำลายต้นไม้ทั้งหมดของนางอารามโสภาทำให้นครที่มั่งคั่ง และสามีนางอารามโสภาถึงแก่การอวสานลงไปในทะเล (นิทานฮินดูท้ายเรื่องนี้น่าจะได้รับอิทธิพลจากเรื่องอาลีบาบากับโจรทั้ง 40 คน)
😇ยักษ์ในวรรณกรรมสันสกฤตถือว่าเป็นพวกเทวดา ในศาสนาเชนหรือไชนะของอินเดียเรียกพวกเทพารักษ์ต่าง ๆ ว่ายักษ์ เช่นรุกขเทวดาที่มาช่วยนางอารามโสภา หรือนางปลาบู่ทองสำนวนอินเดียก็ว่าเป็นยักษ์พวกหนึ่ง ยักษ์หรือภูตไพรซึ่งมักปรากฏเป็นชายร่างใหญ่ใจดีมาช่วยมนุษย์น่าจะเป็นตำนานเล่าและนับถือในชนพื้นเมืองสมัยยุคก่อนพระเจ้าสุลัยมาน เมื่อพระเจ้าสุลัยมานหันมานับถือพระเจ้าองค์เดียวในสมัยนั้น เทพโบราณจึงถูกเปลี่ยนเป็นปีศาจไปหมด (สมัยที่ศาสนา ยิว คริสต์ และอิสลาม ยังไม่แบ่งแยกกันชัดเจน ตำนานพระเจ้าสุลัยมาน หรือมหากษัตริย์โซโลมอน คริสต์และอิสลามจึงใช้ร่วมกัน)
หากภาพไม่สามารถเปิดได้สามารถอ่านได้ใน youtube และลิงก์ด้านล่าง
วันอาทิตย์ที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2562
เทศกาลสงกรานต์ทั้ง 4 ของชาวฮินดู
สงกรานต์ แขกเรียก "สังกรานติ" คือช่วงเวลาที่พระอาทิตย์โคจรจากราศีหนึ่งไปอีกราศีหนึ่งตามความเชื่อทางโหราศาสตร์ที่เกี่ยวกับ 12 ราศี ของอินเดียและกรีก ตามสุริยคติ ดังนั้นสงกรานต์ในทางโหราศาสตร์มีทุก ๆ เดือน แต่เทศกาลสงกรานต์ที่สำคัญของฮินดูมีแค่ 4 ตามฤดูกาลที่สำคัญซึ่งเกี่ยวกับสังคมเกษตรกรรมและการเพาะปลูกคือ
(อินเดียโบราณมี 6 ฤดู ไทยมี 3 ฤดู ปัจจุบันมี 2 คือวันที่ฝนตก กับไม่ตก)
1) มกระ สังกรานติ (โปงเคิล - ทมิฬ 15-18 มกรา 2019 แต่ มกระ สังกรานติ 15 มกรา 2019) เหมันตฤดู (หนาว) - ศิศิร ฤดู (หมอก น้ำค้าง ลม)
😇 ช่วงมกราคม เป็นหน้าหนาวของอินเดีย แต่เป็นหน้าฝนของทมิฬนาฑู เทศกาลโปงเคิล คือเทศกาล บูชาพระอาทิตย์ เจ้าแม่ฝน (มะลัยอัมมัน 1 ในเจ็ดเทวีพี่น้องของนางมีนักษี หรืออุมาเทวีอวตารแห่งอินเดียใต้ ที่ถือว่าเป็นที่มาของสัปตมาตฤกาในอารยธรรมสินธุ ประมาณสามพันกว่าปีก่อน) และวันสุดท้ายมีการบูชาขอบคุณสัตว์เลี้ยงที่ช่วยงานเกษตรกรรม วัว ควาย ลา หรือม้า (ถือว่าเป็นปีใหม่ของชาวทมิฬ ที่ยิ่งใหญ่อย่างแท้จริง)
2) เมษะ สังกรานติ (ปุถานดุ -ทมิฬ 14 เมษา 2019) คิมหันตฤดู (ฤดูร้อน)
😇 ทั้งอินเดียเหนือและใต้เป็นหน้าร้อน เทศกาลปุถานดุ ของทมิฬแม้จะไม่มีการสาดน้ำเหมือนสงกรานต์ไทย แต่ก็เป็นวันครอบครัว พบปะกัน มีการบูชาเทพเจ้าเป็นพิเศษเงียบ ๆ ในบ้าน และกินอาหารร่วมกัน โดยมากคนไม่ค่อยออกไปไหนเพราะร้อนมาก (น้ำน้อย น้ำไม่ไหล ต้องประหยัด) และที่อินเดียมีคนร้อนตายทุก ๆ ปี (บางคนก็ว่าปุถานดุก็เป็นปีใหม่ของทมิฬเช่นกัน ชาวทมิฬจึงมีปีใหม่สองครั้ง)
3) กรกะ สังกรานติ (ทักษิณยานะ 16 กรกฏา 2019 เฉพาะปีนี้ตรงกับ วันอาสาฬหบูชา) วรรษา ฤดู (ฤดูฝน)
😇 เป็นวันบูชาพระนารายณ์เป็นพิเศษและการเริ่มต้นที่ดีของการฝึกสมาธิ
4) ตุละ สังกรานติ (ทีปวาลี 25-27 ตุลา 2019 แต่ตุละ สังกรานติ 17 ตุลา 2019) สารทฤดู (ใบไม้ร่วง)
😇 เทศกาลทีปวาลี หรือ "ดีวาลี" ก็ว่า เป็นเทศกาลบูชาพระลักษมี (เทวีแห่งความร่ำรวย ช่วงเริ่มเก็บเกี่ยวพืชผลขายแล้วรวย?) เป็นหลัก แต่ก็มีการบูชาเทพต่าง ๆ อีกหลายองค์ เช่นสรัสวดี เทวีแห่งความรู้ อักษรศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ พระคเณศ เทพแห่งปัญญาศิลปะ และความสำเร็จ หรือระลึกพระราม ธรรมราชาผู้เป็นพระนารายณ์อวตารซึ่งกลับมาอโยธยาในวันนี้ บางก็ว่าเป็นคืนเดือนมืดที่พญายมจะมาตรวจเยี่ยมดูคุณความดีของมนุษย์ จึงต้องจุดประทีปต้อนรับก็มี มีการบูชาเทพฮินดูอย่างใหญ่โต และมีการจุดพลุไฟเล่นทั่วเมือง อย่างน่ากลัว (ประเภทเอาพลุโอ่งหลายลูกใส่ถังพลาสติกหรือปี๊บเอาไปตั้งกลางถนน แล้วจุดไฟให้ระเบิด ในขณะที่คนยังเดินไปมาหนาแน่นในถนนหนทาง ซึ่งผู้เดินจะต้องรู้จังหวะกระโดดหลบเอาเอง)
(อินเดียโบราณมี 6 ฤดู ไทยมี 3 ฤดู ปัจจุบันมี 2 คือวันที่ฝนตก กับไม่ตก)
1) มกระ สังกรานติ (โปงเคิล - ทมิฬ 15-18 มกรา 2019 แต่ มกระ สังกรานติ 15 มกรา 2019) เหมันตฤดู (หนาว) - ศิศิร ฤดู (หมอก น้ำค้าง ลม)
😇 ช่วงมกราคม เป็นหน้าหนาวของอินเดีย แต่เป็นหน้าฝนของทมิฬนาฑู เทศกาลโปงเคิล คือเทศกาล บูชาพระอาทิตย์ เจ้าแม่ฝน (มะลัยอัมมัน 1 ในเจ็ดเทวีพี่น้องของนางมีนักษี หรืออุมาเทวีอวตารแห่งอินเดียใต้ ที่ถือว่าเป็นที่มาของสัปตมาตฤกาในอารยธรรมสินธุ ประมาณสามพันกว่าปีก่อน) และวันสุดท้ายมีการบูชาขอบคุณสัตว์เลี้ยงที่ช่วยงานเกษตรกรรม วัว ควาย ลา หรือม้า (ถือว่าเป็นปีใหม่ของชาวทมิฬ ที่ยิ่งใหญ่อย่างแท้จริง)
2) เมษะ สังกรานติ (ปุถานดุ -ทมิฬ 14 เมษา 2019) คิมหันตฤดู (ฤดูร้อน)
😇 ทั้งอินเดียเหนือและใต้เป็นหน้าร้อน เทศกาลปุถานดุ ของทมิฬแม้จะไม่มีการสาดน้ำเหมือนสงกรานต์ไทย แต่ก็เป็นวันครอบครัว พบปะกัน มีการบูชาเทพเจ้าเป็นพิเศษเงียบ ๆ ในบ้าน และกินอาหารร่วมกัน โดยมากคนไม่ค่อยออกไปไหนเพราะร้อนมาก (น้ำน้อย น้ำไม่ไหล ต้องประหยัด) และที่อินเดียมีคนร้อนตายทุก ๆ ปี (บางคนก็ว่าปุถานดุก็เป็นปีใหม่ของทมิฬเช่นกัน ชาวทมิฬจึงมีปีใหม่สองครั้ง)
3) กรกะ สังกรานติ (ทักษิณยานะ 16 กรกฏา 2019 เฉพาะปีนี้ตรงกับ วันอาสาฬหบูชา) วรรษา ฤดู (ฤดูฝน)
😇 เป็นวันบูชาพระนารายณ์เป็นพิเศษและการเริ่มต้นที่ดีของการฝึกสมาธิ
4) ตุละ สังกรานติ (ทีปวาลี 25-27 ตุลา 2019 แต่ตุละ สังกรานติ 17 ตุลา 2019) สารทฤดู (ใบไม้ร่วง)
😇 เทศกาลทีปวาลี หรือ "ดีวาลี" ก็ว่า เป็นเทศกาลบูชาพระลักษมี (เทวีแห่งความร่ำรวย ช่วงเริ่มเก็บเกี่ยวพืชผลขายแล้วรวย?) เป็นหลัก แต่ก็มีการบูชาเทพต่าง ๆ อีกหลายองค์ เช่นสรัสวดี เทวีแห่งความรู้ อักษรศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ พระคเณศ เทพแห่งปัญญาศิลปะ และความสำเร็จ หรือระลึกพระราม ธรรมราชาผู้เป็นพระนารายณ์อวตารซึ่งกลับมาอโยธยาในวันนี้ บางก็ว่าเป็นคืนเดือนมืดที่พญายมจะมาตรวจเยี่ยมดูคุณความดีของมนุษย์ จึงต้องจุดประทีปต้อนรับก็มี มีการบูชาเทพฮินดูอย่างใหญ่โต และมีการจุดพลุไฟเล่นทั่วเมือง อย่างน่ากลัว (ประเภทเอาพลุโอ่งหลายลูกใส่ถังพลาสติกหรือปี๊บเอาไปตั้งกลางถนน แล้วจุดไฟให้ระเบิด ในขณะที่คนยังเดินไปมาหนาแน่นในถนนหนทาง ซึ่งผู้เดินจะต้องรู้จังหวะกระโดดหลบเอาเอง)
วันอาทิตย์ที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2561
ปี่เซียะ “กวางสวรรค์” หรือกิมปุรุษะของจีน กลายเป็นสิงโตมีเขามีปีก
ในตำนานเทพนิยายของจีนที่เก่าแก่คือ ซานไฮ่จิน山海經
ซึ่งน่าจะแต่งขึ้นในสมัยราชวงศ์ฮั่น (๒๐๖ ปี ก่อน ค.ศ. ถึง ค.ศ. ๒๒๐) โดยเชื่อว่าเป็นการรวบรวมตำนานเทพนิยายจีนที่มีมาก่อนหน้านั้น
ทำให้ซานไฮ่จินมีถึง ๑๘ ตอนได้กล่าวถึงเรื่องราวของ ๕๕๐ ขุนเขา และ ๓๐๐ ดินแดนชนเผ่าท้องถิ่นต่าง
ๆ ในโลกภูมิอันกว้างใหญ่ของชาวจีนที่มีลักษณะที่แปลกประหลาดมากมายตามทัศนะของจีน
ที่เสริมเติมแต่งจนกลายเป็นสัตว์ประหลาดหรือสัตว์ในเทพนิยายปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นบรรพบุรุษของเผ่าม้ง
ยักษ์ จิ้งจอกเก้าหาง อินทรีเก้าหัว กิเลน
มังกร พญานาค สัตว์อสูร สัตว์ประหลาดที่เป็นลูกผสมต่าง ๆ ลูกมังกรต่าง ๆ มากมาย ซึ่งสมัยต่อมากลายเป็นสัตว์เทพ หรือปีศาจของจีน ซานไฮ่จินเทียบได้กับปุราณะของอินเดียซึ่งมีการเล่าถึงการสร้างโลก
การกำเนิดของมนุษย์ ตำนานน้ำท่วมโลก และเทพบรรพชนจีน เช่น เจ้าแม่นี่หวา เทพน้ำ เทพไฟ ฯลฯ
กวางสวรรค์ในตำนานจีน
|
ปี่เซียะ ในปัจจุบัน
|
|
|
ภาพกวางสวรรค์จากซานไฮ่จิน ค.ศ. ๒๒๐
|
ภาพสิงโตมีเขา
ปี่เซียะ ราชวงศ์จิ๋น ค.ศ. ๒๖๕
|
ซึ่งสัตว์ที่น่าสนใจคือ ปี่เซียะ Bi Xie 辟邪/ Pixiu
貔貅 ซึ่งในซานไฮ่จินว่ามีลักษณ์เป็นครึ่งคนครึ่งกวาง
โดยที่ท่อนบนเป็นคนมีเขาเหมือนกวาง ส่วนท่อนลางเป็นกวาง
บางครั้งถูกเรียกว่า "กวางสวรรค์" (天鹿 เทียนลู่) โดยลักษณะของปี่เซียะตามคำบอกเล่าในซานไฮ่จินคล้ายกับพวกครึ่งคนครึ่งม้าของกรีกคือพวกเซนเทอร์
Centaur ของกรีก
ซึ่งแต่เดิมน่าจะเป็นชนเผ่าที่ชำนาญการต่อสู้บนหลังม้าแต่ถูกจินตนาการเสริมเติมแต่งเข้าไปจนกลายเป็นครึ่งคนครึ่งม้า
ซึ่งเมื่อพวกเซนเทอร์ Centaur เข้ามาในอินเดียก็กลายเป็นพวกกิมปุรุษะ
แต่พวกกิมปุรุษะของอินเดียหมายถึงพวกที่ตัวเป็นสัตว์หน้าเป็นคน ซึ่งพวกสฟิงซ์ Sphinx
ของอียิปต์ก็จัดได้ว่าเป็นพวกกิมปุรุษะด้วย และกิมปุรุษะในศิลปกรรมของอินเดียส่วนใหญ่คือพวก
ครึ่งคนครึ่งสิงโต เหมือนสฟิงซ์มากกว่า Sphinx
เมื่อเข้าไปสู่จีนอิทธิพลจากอินเดียจึงทำให้ในสมัยหลัง ปี่เซียะ Bi Xie 辟邪/ Pixiu
貔貅 เหมือนสิงโตมีเขาไปหรือไม่?
แต่อย่างไรก็ดีในจีนยังมีการแบ่งแยกระหว่าง ปี่เซียะ Bi Xie 辟邪/ Pixiu
貔貅กับกิเลน
ซึ่งเป็นครึ่งม้าครึ่งมังกร Kylin/ qilin/ 麒麟 ซึ่งมีการเชื่อมโยงว่ากิเลนเทียบได้กับ
“ม้าสวรรค์” คือยูนิคอน Unicorn หรือเพกาซัส Pegasus ของจีน ในขณะที่ เซีย Bi Xie 辟邪/ Pixiu
貔貅 คือกวางสวรรค์ที่ปัจจุบันกลายเป็นสิงโตมีเขามีปีก จากเดิมที่เคยเป็นครึ่งคนครึ่งกวาง
กิมปุรุษะ /เซนเทอร์
|
กิมปุรุษะ / สฟิงซ์
|
(Kimpurusha)
Centaur of India
|
(Kimpurusha)
Sphinx of India
|
|
|
ภาพ
กิมปุรุษะ ครึ่งคนครึ่งม้าของอินเดีย (ที่สาญจี)
|
ภาพ
กิมปุรุษะ ครึ่งคนครึ่งสิงโต (ที่มหาบลิปุรัม)
|
|
ซึ่งพวกครึ่งคนครึ่งม้าหรือกิมปุรุษะในอินเดียเมื่อเข้าไปในจีนก็กลายเป็น กินนร (紧那罗 จินน่าหลัว) ในคติของจีนมาก่อน และน่าจะเคยถูกเปรียบเทียบเพราะความสับสนกับตัว ปี่เซียะ Bi Xie 辟邪/ Pixiu 貔貅 กวางสวรรค์มาเหมือนกัน ก่อนที่จะถูกจับแยกจากกันกลายเป็นเทวดาจำพวกหนึ่ง ปัจจุบันตัวปี่เซียะถูกเล่าใหม่ว่าเป็นลูกหนึ่งในเก้าชนิดของมังกร ส่วนตัวกิเลนหรือม้าสวรรค์ในศิลปะจีนมีมานานแล้ว แล้วก็มีการซ้อนทับกับตำนานปี่เซียะ ทำให้ปี่เซียะที่เป็นมังกรครึ่งเสือหรือครึ่งม้ามีปีกหรือไม่มีปีก ฯ ก็อาจจะมีมาก่อนตำนานซานไฮ่จิน จึงมีการเล่าใหม่ในสมัยหลังให้
กินนร (紧那罗 จินน่าหลัว)
เป็นเทพหรือคนภูเขาเผ่าหนึ่งในทางพุทธศาสนา
ปี๋เซียะ (辟邪) /กวางสวรรค์ (天鹿 เทียนลู่) กลายเป็นกิเลนมีปีก
หรือครึ่งสิงโตหัวมังกรมีปีก
กิเลน (麒麟) ม้าสวรรค์ เป็นครึ่งม้าครึ่งมังกร (สมัยราชวงศ์หมิง ค.ศ. ๑๙๔๘ ของพระเจ้าหย่งเล่อ 永乐 มีขุนนาง/ขันทีจีน เจิ้งเหอ 郑和 ได้ออกเดินเรือไปถึงแอฟริกาและนำยีราฟกลับมาประเทศจีน ซึ่งยีราฟ giraffe ได้รับการยอมรับจากชาวจีนว่าคือตัว "กิเลน" ในสมัยนั้น)
โดยคำว่า ปี๋ หมายถึงเพศชายและ เซียะ
หมายถึงเพศหญิงกลายเป็นคู่สัตว์มงคลตามความเชื่อในปัจจุบัน
กินนรเป็นสัตว์ในตำนานจีน
|
กินนรเป็นเทพเจ้าในตำนานจีน
|
|
|
ภาพกินนร (紧那罗 จินน่าหลัว) ของจีน
ที่ถูกเปรียบกับพวกเซนเทอร์
|
ภาพกินนร (紧那罗 จินน่าหลัว) ของจีน
ในฐานะเทพเจ้า
|
วันเสาร์ที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2561
นร วานร กินนร และนรสิงห์
นร (นะ - ระ) แปลว่า คน , มนุษย์ เป็นเพศชาย ถ้าเป็นเพศหญิงใช้ว่า นรี (นะ-รี) หรือ นารี (นา - รี)
วา ในภาษาสันสกฤต แปลว่า หรือ
กิม ในภาษาสันสกฤต แปลว่า อะไร
สิงหะ (สิง - หะ) สีหะ (สี -หะ) หรือสิงห์ (สิง) ในภาษาบาลีสันสกฤต แปลว่า สิงโตอินเดีย ไทยเอามาใช้เป็นสัตว์ป่าหิมพานต์ชนิดหนึ่งตระกูลเสือ
วา + นร = วานร (วา - นะ- ระ / วา - นอน) แปลตามรากศัพท์ว่า "นี่หรือคน?" หมายถึงสัตว์จำพวกลิง
กิม+นร = กินนร (เพศชาย) กินนรี (เพศหญิง แต่ไทยใช้ว่า กินรี) ซึ่งเสียง /ม/ ของคำว่ากิม กลายเป็นเสียง /น/ เพราะกฎการกลมกลืนเสียงตามเสียงหลังคือเสียง /น/ จากคำว่า นร (เพราะ /ม/ และ /น/ ต่างก็เป็นพยัญชนะนาสิกท้ายพยัญชนะ วรรค)
โดยคำว่า กินนร แปลตามรากศัพท์แปลว่า "คนอะไร" หมายถึงครึ่งคนครึ่งนกในวรรณคดีบาลี แต่ในวรรณคดีสันสกฤต กินนรคืออมนุษย์ชนิดหนึ่งที่ตัวเป็นคนหน้าเป็นสัตว์ โดยมากเป็นม้า ส่วนพวกอมนุษย์ที่ตัวเป็นสัตว์หน้าเป็นคนในวรรณคดีสันสกฤตเรียกว่า "กิมปุรุษะ"
ซึ่งไม่ว่าจะเป็น กินรี (ท่อนบนเป็นคนท่อนล่างเป็นนก/ คนมีปีก) หรือตัวอรหัน (ออ-ระ-หัน) หรือจิงโจ้ ก็ว่าซึ่งเป็น นกหน้าคน คนอินเดียเข้าใจว่าเป็นกินรีในวรรณคดีบาลีหมด เพราะกินรี ดังและเป็นที่นิยมกว่าตัวอรหัน
และนอกจากนี้เชื่อว่าตามวรรณคดีสันสกฤตจะเรียกพวกครึ่งคนครึ่งนกว่า ครุฑ (เพศชาย) ครุฑ ปัตนี (เมียครุฑ เพศหญิง) ส่วนพวกกินนร กินรี คืออมุษย์ร่างมนุษย์ หน้าเป็นม้าเหมือนนางแก้วหน้าม้า แต่ต่อมาเมื่ออิทธิพลทางวรรณคดีพุทธศาสนามีอิทธิพลไปทั่วโลก นักโบราณคดีอินเดียดูจะพอใจกับการใช้คำว่า กินนร ปักษี หรือกินรี เรียกรูปสลักครึ่งคนครึ่งนก เช่นกัน ดังนั้นนัยยะของ "กินนร" ที่มีความหมายโดยรากศัพท์ว่า "คนอะไร?" จึงหมายถึงอมนุษย์ที่เป็นครึ่งคนครึ่งสัตว์ด้วย
ในปัจจุบันคำว่า กินนรี (ภาษาฮินดี) หรือ กินรีในภาษาไทย เป็นสแลงในภาษาอินเดียแปลว่า เกย์ หรือชายรักชายที่แต่งเป็นหญิง (คนอะไร?) เทียบได้กับสแลงในภาษาอังกฤษว่า angel / fairy (นางฟ้า)
อ่านเรื่องตัวอรหัน และพระอรหันต์ ได้ที่เว็บไซต์ของราชบัณฑิต ตามลิงก์คือ; http://www.royin.go.th/?knowledges=อรหัน-กับ-อรหันต์-๗-พฤศจิ
นร+ สิงห์ = นรสิงห์ หมายถึงอมนุษย์ชนิดหนึ่บที่ตัวเป็นคนหัวเป็นสิงโต ซึ่งนรสิงห์ตนแรกคือสิงหาวตารคือพระนารายณ์ปางหนึ่งที่แปลงมาใช้กรงเล็บแหกอกฆ่าอสูรร้ายผู้ครองจักรวาลที่ชื่อว่า หรัณยกศิปุ (พ่อของท้าวประหลาด ทวดของเจ้ากรุงพาลพญาอสูรผู้ครองบาดาลโลก) ซึ่ง ได้พรจากพระพรหมว่าขออย่าได้ถูกใคร หรืออาวุธใด ๆ ที่เขารู้จักฆ่าตาย โดยนัยหนึ่งนรสิงห์เป็นสัญลักษณ์ของกษัตริย์ผู้กล้าหาญดุจสิงโต เพราะคนดินเดียสมัยโบราณ ยกย่องวัวตัวผู้ และสิงโต ซึ่งการนับถือวัว และสิงโตว่าเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์มีมาตั้งแต่อารยธรรมอียิปต์โบราณ กรีก และบาบิโลน เช่นการที่วีรบุรุษหรือเทพกรีก เฮอร์คิวลิส (Hercules) และ กิลกาเมซ (Gilgamesh) กษัตริย์ผู้ครองนครอุรุคและอาณาจักรบาบิโลน สร้างวีรกรรมด้วยการปราบหรือมีอำนาจเหนือสิงโต เป็นต้น
วา ในภาษาสันสกฤต แปลว่า หรือ
กิม ในภาษาสันสกฤต แปลว่า อะไร
สิงหะ (สิง - หะ) สีหะ (สี -หะ) หรือสิงห์ (สิง) ในภาษาบาลีสันสกฤต แปลว่า สิงโตอินเดีย ไทยเอามาใช้เป็นสัตว์ป่าหิมพานต์ชนิดหนึ่งตระกูลเสือ
วา + นร = วานร (วา - นะ- ระ / วา - นอน) แปลตามรากศัพท์ว่า "นี่หรือคน?" หมายถึงสัตว์จำพวกลิง
กิม+นร = กินนร (เพศชาย) กินนรี (เพศหญิง แต่ไทยใช้ว่า กินรี) ซึ่งเสียง /ม/ ของคำว่ากิม กลายเป็นเสียง /น/ เพราะกฎการกลมกลืนเสียงตามเสียงหลังคือเสียง /น/ จากคำว่า นร (เพราะ /ม/ และ /น/ ต่างก็เป็นพยัญชนะนาสิกท้ายพยัญชนะ วรรค)
โดยคำว่า กินนร แปลตามรากศัพท์แปลว่า "คนอะไร" หมายถึงครึ่งคนครึ่งนกในวรรณคดีบาลี แต่ในวรรณคดีสันสกฤต กินนรคืออมนุษย์ชนิดหนึ่งที่ตัวเป็นคนหน้าเป็นสัตว์ โดยมากเป็นม้า ส่วนพวกอมนุษย์ที่ตัวเป็นสัตว์หน้าเป็นคนในวรรณคดีสันสกฤตเรียกว่า "กิมปุรุษะ"
ซึ่งไม่ว่าจะเป็น กินรี (ท่อนบนเป็นคนท่อนล่างเป็นนก/ คนมีปีก) หรือตัวอรหัน (ออ-ระ-หัน) หรือจิงโจ้ ก็ว่าซึ่งเป็น นกหน้าคน คนอินเดียเข้าใจว่าเป็นกินรีในวรรณคดีบาลีหมด เพราะกินรี ดังและเป็นที่นิยมกว่าตัวอรหัน
และนอกจากนี้เชื่อว่าตามวรรณคดีสันสกฤตจะเรียกพวกครึ่งคนครึ่งนกว่า ครุฑ (เพศชาย) ครุฑ ปัตนี (เมียครุฑ เพศหญิง) ส่วนพวกกินนร กินรี คืออมุษย์ร่างมนุษย์ หน้าเป็นม้าเหมือนนางแก้วหน้าม้า แต่ต่อมาเมื่ออิทธิพลทางวรรณคดีพุทธศาสนามีอิทธิพลไปทั่วโลก นักโบราณคดีอินเดียดูจะพอใจกับการใช้คำว่า กินนร ปักษี หรือกินรี เรียกรูปสลักครึ่งคนครึ่งนก เช่นกัน ดังนั้นนัยยะของ "กินนร" ที่มีความหมายโดยรากศัพท์ว่า "คนอะไร?" จึงหมายถึงอมนุษย์ที่เป็นครึ่งคนครึ่งสัตว์ด้วย
ในปัจจุบันคำว่า กินนรี (ภาษาฮินดี) หรือ กินรีในภาษาไทย เป็นสแลงในภาษาอินเดียแปลว่า เกย์ หรือชายรักชายที่แต่งเป็นหญิง (คนอะไร?) เทียบได้กับสแลงในภาษาอังกฤษว่า angel / fairy (นางฟ้า)
อ่านเรื่องตัวอรหัน และพระอรหันต์ ได้ที่เว็บไซต์ของราชบัณฑิต ตามลิงก์คือ; http://www.royin.go.th/?knowledges=อรหัน-กับ-อรหันต์-๗-พฤศจิ
นร+ สิงห์ = นรสิงห์ หมายถึงอมนุษย์ชนิดหนึ่บที่ตัวเป็นคนหัวเป็นสิงโต ซึ่งนรสิงห์ตนแรกคือสิงหาวตารคือพระนารายณ์ปางหนึ่งที่แปลงมาใช้กรงเล็บแหกอกฆ่าอสูรร้ายผู้ครองจักรวาลที่ชื่อว่า หรัณยกศิปุ (พ่อของท้าวประหลาด ทวดของเจ้ากรุงพาลพญาอสูรผู้ครองบาดาลโลก) ซึ่ง ได้พรจากพระพรหมว่าขออย่าได้ถูกใคร หรืออาวุธใด ๆ ที่เขารู้จักฆ่าตาย โดยนัยหนึ่งนรสิงห์เป็นสัญลักษณ์ของกษัตริย์ผู้กล้าหาญดุจสิงโต เพราะคนดินเดียสมัยโบราณ ยกย่องวัวตัวผู้ และสิงโต ซึ่งการนับถือวัว และสิงโตว่าเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์มีมาตั้งแต่อารยธรรมอียิปต์โบราณ กรีก และบาบิโลน เช่นการที่วีรบุรุษหรือเทพกรีก เฮอร์คิวลิส (Hercules) และ กิลกาเมซ (Gilgamesh) กษัตริย์ผู้ครองนครอุรุคและอาณาจักรบาบิโลน สร้างวีรกรรมด้วยการปราบหรือมีอำนาจเหนือสิงโต เป็นต้น
ภาพเทพ Maahes แห่งอียิปต์มีเศียรเป็นสิงโต
วันพุธที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2561
ระมาด มาจากภาษาเขมร
ตระกูลแรดมีทั้งสิ้น 5 ชนิด นอกจากแรดแล้วยังมี กระซู่ แรดอินเดีย แรดขาว และแรดดำ สัตว์ในตระกูลแรดอาจเรียกเหมารวมกันว่า แรด ดังนั้น เมื่อเอ่ยถึงแรดคำเดียว อาจหมายถึงแรดชนิดใดชนิดหนึ่งในห้าชนิดนี้ หรืออาจหมายถึงแรดที่มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Rhinoceros sondaicusนี้ก็ได้ ด้วยเหตุนี้การเอ่ยเพียงคำว่า "แรด" (สำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ. 2061: ออนไลน์)
ตามพจนานุกรมราชบัณฑิตยสถาน คำว่า ระมาด เป็นคำนาม แปลว่า แรด เป็นคำยืมภาษาเขมรซึ่งเขียนว่า รมาส ในภาษาเขมร เป็นชื่อสัตว์ชนิดหนึ่งในป่าหิมพานต์ (แรดอินเดีย?)
แรดในภาษาฮินดี และสันสกฤตได้แก่
แรดในภาษาฮินดี และสันสกฤตได้แก่
गैंडा
|
ฮินดี
|
ไคณฑา
|
แรดตัวผู้
|
नर गैंडा
|
ฮินดี
|
นัร
ไคณฑา
|
แรดตัวผู้
|
मादा गैंडा
|
ฮินดี
|
มาดา
ไคณฑา
|
แรดตัวเมีย
|
गण्डक
|
สันสกฤต
|
คณฺฑก
|
แรดตัวผู้
|
एकशृङ्ग
|
สันสกฤต
|
เอกศฤงฺค
|
แรดตัวผู้
|
खड्ग
|
สันสกฤต
|
ขงฺค
|
แรดตัวผู้
|
नासिकामूल
|
สันสกฤต
|
นาสิกามูล
|
แรดตัวผู้
|
क्रोधिन्
|
สันสกฤต
|
โกฺรธินฺ
|
แรดตัวผู้
|
मुखशृङ्ग
|
สันสกฤต
|
มุขศฤงฺค
|
แรดตัวผู้
|
गणोत्साह
|
สันสกฤต
|
คโณตฺสาห
|
แรดตัวผู้
|
खङ्गिन्
|
สันสกฤต
|
ขงฺคินฺ
|
แรดตัวผู้
|
वनोत्साह
|
สันสกฤต
|
วโนตฺสาห
|
แรดตัวผู้
|
मुखेबलिन्
|
สันสกฤต
|
มุเขพลินฺ
|
แรดตัวผู้
|
वार्ध्राणस
|
สันสกฤต
|
วารฺธฺราณส
|
แรดตัวผู้
|
तैतिल
|
สันสกฤต
|
ไตติล
|
แรดตัวผู้
|
क्रोडीमुख
|
สันสกฤต
|
โกฺรฑิมุข
|
แรดตัวผู้
|
वाध्रीणस
|
สันสกฤต
|
วาธฺรีณส
|
แรดตัวผู้
|
खड्गाह्व
|
สันสกฤต
|
ขฑฺคาหว
|
แรดตัวผู้
|
गण्ड
|
สันสกฤต
|
คณฺฑ
|
แรดตัวผู้
|
वार्ध्रीणस
|
สันสกฤต
|
วารฺธฺรีณส
|
แรดตัวผู้
|
तुङ्गमुख
|
สันสกฤต
|
ตุงฺคมุข
|
แรดตัวผู้
|
गजनक्र
|
สันสกฤต
|
คชนกฺร
|
แรดตัวผู้
|
वाध्रीणसक
|
สันสกฤต
|
วาธฺรีณสก
|
แรดตัวผู้
|
एकचर
|
สันสกฤต
|
เอกจร
|
แรดตัวผู้
|
स्वनोत्साह
|
สันสกฤต
|
สฺวโนตฺสาห
|
แรดตัวผู้
|
गण्डाङ्ग
|
สันสกฤต
|
คณฺฑางฺค
|
แรดตัวผู้
|
वज्रचर्मन्
|
สันสกฤต
|
วชฺรจรฺมนฺ
|
แรดตัวผู้
|
खड्गविषाण
|
สันสกฤต
|
ขฑฺควิษาณ
|
แรดตัวผู้
|
दौहित्र
|
สันสกฤต
|
เทาหิตฺร
|
แรดตัวผู้
|
खड्गिधेनुका
|
สันสกฤต
|
ขฑฺคิเธนุกา
|
แรดตัวเมีย
|
खड्गधेनु
|
สันสกฤต
|
ขฑฺคเธนุ
|
แรดตัวเมีย
|
खङ्ग धेनु
|
สันสกฤต
|
ขฑฺค
เธนุ
|
แรดตัวเมีย
|
พฤติกรรมของแรด: แรดเป็นสัตว์สันโดษปกติจะอยู่เพียงตัวเดียวลำพังยกเว้นจับคู่ผสมพันธุ์และเลี้ยงดูลูกอ่อน บางครั้งจะมีการรวมฝูงเล็ก ๆ ที่โป่งหรือปลักโคลน การลงแช่ปลักเป็นพฤติกรรมที่พบได้ในแรดทุกชนิด เพื่อช่วยในการควบคุมอุณหภูมิร่างกายและช่วยป้องกันผิวหนังจากปรสิตภายนอกและแมลงอื่น ๆ
วัยเจริญพันธุ์ : แรดเพศเมียถึงวัยเจริญพันธุ์เมื่ออายุได้ราว 3–4 ปีในขณะที่เพศผู้ที่ประมาณ 6 ปี ตั้งท้องประมาณ 16–19 เดือน ให้กำเนิดลูกห่างกัน 4–5 ปี ลูกแรดจะอยู่กับแม่จนถึงอายุ 2 ปี
1. ความเชื่อเกี่ยวกับแรด (ตำนานพรานป่า)
| |
1.1 แรดตัวเมียถึงฤดูผสมพันธุ์จะมีความต้องการทางเพศสูงจนฆ่าตัวผู้ที่ไม่ยอมผสมพันธุ์
| |
1.2 แรดตัวเมียฆ่าลูกเพื่อจะผสมพันธุ์กับตัวผู้
| |
2. ความจริงเกี่ยวกับแรด (วิทยาศาสตร์)
| |
2.1 แรดอินเดียตัวเมียตัวหนึ่งถูกแรดตัวผู้สองตัวที่ต้องการจะผสมพันธุ์ด้วยขวิดตาย เพราะไม่ยอมผสมพันธุ์ด้วย เป็นข่าวเมื่อสองสามปีที่ผ่านมา
| |
2.2 ลูกของสัตว์ตัวเมียในธรรมชาติส่วนใหญ่จะถูกตัวผู้ฆ่า เพื่อที่จะเร่งให้ตัวเมียพร้อมที่จะผสมพันธุ์ไวขึ้น
|
คำว่า แรด เป็นคำสแลงใหม่ถึงผู้หญิงที่ จัดจ้าน, ดัดจริต, แก่แดด, ไวไฟ ซึ่งอาจจะมาจากการที่แรดชอบเล่นปลักโคลน และแรดเพศเมียสามารถถึงวัยเจริญพันธุ์ได้เร็วคือราว 3–4 ปี มากกว่า ตำนานที่ว่าแรดมีอารมณ์ทางเพศรุนแรงจนฆ่าแรดตัวผู้ ซึ่งในนิยามความหมายของแรด คือพุ่งเข้าใส่ผู้ชายไม่ได้ฆ่าหรือทำร้ายผู้ชาย
........................ส่วนสัตว์ในธรรมชาติที่ผสมพันธุ์แล้วชอบฆ่าตัวผู้เป็นอาหารส่วนใหญ่มักจะเป็นสัตว์จำพวกแมลงมากกว่า เช่น แมงมุมแม่ม่ายดำ.......................................
1. สำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (องค์การมหาชน). (2061). ทรัพยากรณ์ชีวภาพสัตว์ "แรด". ระบบฐานข้อมูลทรัพยากรชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่น. แหล่งที่มา: http://bedo.or.th/lcdb/biodiversity/view2.aspx?id=9226
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)