วันเสาร์ที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2565

มัทนะพาธาสำนวนโรมาเนีย " ธิดากุหลาบ"

 THE DAUGHTER OF THE ROSE. (ธิดากุหลาบ)

แปลโดย เอ็ม. รุทรกุล

The daughter of the rose (ธิดากุหลาบ; Roumanian Fairy Tales andLegends, by E.B. Mawr, [1881]) เป็นนิทานพื้นบ้านโรมาเนีย ต่อมาได้แปลเป็นภาษาอังกฤษชื่อว่า The Rose Maiden (สาวกุหลาบ; A story from The Book of Knowledge, 1923edition) โดยเนื้อเรื่องคล้ายกันแต่ฉบับสาวกุหลาบว่าพระบิดาเจ้าชายมารินเป็นพระชายาแห่งมอลโดวาประเทศติดกับโรมาเนียแทน เรื่องธิดากุหลาบมีเนื้อหาดังนี้

ชุดพื้นเมืองในวันชาติโรมาเนีย 1 ธันวาคม

ที่มา https://dribbble.com/shots/2383125-Happy-National-Day-Romania

In clays gone by, there dwelt a King and a Queen in Jassy, who, to keep their only son at home with them, were always making him fine promises, which they never fulfilled.

ในแดนดินที่เวลาล่วงไปนั้นยังมีราชาและราชินีที่อาศัยอยู่ในเมืองแจสซี่ (เมืองในตะวันออกเฉียงเหนือของโรมาเนีย ติดกับราชอาณาจักรมอลโดวา และเคยเป็นเมืองหลวงของมอลโดวา) ทั้งสองเลี้ยงดูพระโอรสองค์เดียวของพวกเขาไว้ในพระราชวังของพวกพระองค์ และมักจะให้คำมั่นสัญญาที่ดีกับพระโอรสเสมอ ทั้งที่พวกพระองค์ไม่เคยทำให้ได้สำเร็จ

One day this young Prince, Marin by name, went to his mother's apartments, and announced to her, that if she did not speedily bring to him the beautiful Princess from foreign parts which she had promised him to wife, he should set off in search of her himself. After waiting some weeks, finding that this promise was not likely to be fulfilled, he called for his horse and his retainers, and set off on his travels. He rode along until he came to a vast prairie, studded with the most beautiful flowers, through which meandered a silvery rivulet of pure water.

วันหนึ่ง เจ้าชายหนุ่มชื่อมาริน ผู้นี้ไปที่ห้องของพระมารดาและประกาศกับพระนางว่า หากพระนางไม่รีบนำเจ้าหญิงแสนสวยจากต่างแดนซึ่งพระนางได้ให้คำมั่นสัญญาเพื่อให้เป็นพระชายาของพระองค์มาโดยเร็ว พระองค์ก็ควรออกเดินทางตามหา ของพระองค์เอง จากนั้นหลังจากรอมาหลายสัปดาห์ เมื่อพบว่าคำสัญญานี้ไม่น่าจะเป็นจริง พระองค์จึงให้เตรียมม้าและผู้ติดตาม แล้วออกเดินทางไป พระองค์ทรงม้าไปเรื่อยๆ จนกระทั่งมาถึงทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ที่ประดับประดาไปด้วยดอกไม้ที่สวยงามที่สุด ใกล้กับธารน้ำไหลคดเคี้ยวบริสุทธิ์สีเงินยวง

By the side of this rivulet grew a large rose tree with spreading branches, under which Marin stretched himself, and was trying to seek repose when he heard issuing from the tree these words:

ข้างลำธารนี้มีต้นกุหลาบขนาดใหญ่ที่มีกิ่งแผ่กิ่งก้านสาขา ซึ่งเจ้าชายมารินบิดขี้เกียจเหยียดตัวเองและพยายามหาที่สงบเมื่อเขาได้ยินคำพูดเหล่านี้ออกจากต้นไม้:

I pray thee sweet and loved rose tree,

Open thy bark and let me free,

To seek the brook's refreshing wave,

To cool my face, my limbs to bathe,

To cull sweet flowers to deck my brow,

Then know'st my soul is pure as snow."

ไหว้วอนแก้ว กุหลาบรัก รสแสนหวาน

ไม้เปลือกบาน เปิดเบิกศรี เสรีข้า

แสวงสวรรค์ คลื่นชื่นสด ธารธารา

อาบใบหน้า มือเท้า เอาเย็นใจ

บุปผาหวาน คัดปอง ประดับคิ้ว

ไม่ปลิดปลิว ปราชญ์วิญญาณ เยี่ยงหิมะใส

The rose tree unfolded, and from its centre came a fair golden-haired maiden, so dazzling, that to see her was brighter than sunlight. When the Prince Marin cast his eyes upon her, he was petrified at the sight of her beauty; but recovering his confidence he approached her and said, "lovely maiden, if you will give me a flower from your girdle, I will give you a nest in my palace; if you will give me a flower from your lips to kiss, I will dig up your rose tree and transplant it in the garden of my palace; if you will give me your love, I will make you Princess." The maiden, like most other young maidens, believed this flattery, and gave to Marin all that he asked and desired.

ต้นกุหลาบผลิออก และจากตรงกลางก็มีสาวงามผมสีทองเป็นประกายระยิบระยับ จนเห็นเธอสว่างไสวกว่าแสงแดด เมื่อเจ้าชายมารินสบตาเธอ พระองค์ก็ตกตะลึงเมื่อเห็นความงามของเธอ แต่เพื่อให้ความมั่นใจของพระองค์กลับคืนมา พระองค์ได้เข้าไปหาเธอและกล่าวว่า “สาวสวย ถ้าเจ้าจะให้ดอกไม้จากผ้าคาดเอวแก่ข้า ข้าจะให้ที่อยู่แก่เจ้าในวังของข้า ถ้าเจ้าจะให้ดอกไม้จากริมฝีปากของเจ้าเพื่อให้ข้าจุมพิต ข้าจะขุดต้นกุหลาบของเจ้าแล้วเอาไปปลูกในพระอุทยานในวังของข้า ถ้าเจ้าให้ความรักกับข้า ข้าจะทำให้เจ้ากลายเป็นเจ้าหญิงของข้า (พระชายา)” หญิงสาวคนนี้ก็เหมือนกับเด็กสาวคนอื่นๆ ส่วนใหญ่ที่เชื่อคำเยินยอนี้ และมอบทุกสิ่งตามความปรารถนาให้แก่ผู้ขอคือเจ้าชายมาริน


ภาพสาวกุหลาบ 
The Rose Maiden

ที่มา https://cynthiagiles.medium.com/vintage-fairy-tales-the-rose-maiden-215fbe72349e

Sitting hand in hand talking of love, they fell asleep. Marin waking before the maiden, mounted his horse, and went on his way with his followers, leaving only a bunch of flowers in the lap of the sleeping girl. Journeying on, the young Prince arrived at length at a golden palace studded with topazes. He enquired of the first man whom he met, whether in that palace there dwelt a young Princess? It so happened that it was the owner of the palace to whom he had addressed himself, and who could boast of possessing a most charming daughter. He had heard of the good looks, and of the riches of this Prince of Jassy, and readily came to the conclusion that this could be no other but the young Marin, so he replied willingly, "Yes, here dwells the Princess Lexandra, and I am her father." Marin heard this with joy, and requested to be introduced into the Palace, with the view of soliciting the hand of the young Lexandra.

ภายหลังนั่งคุยเรื่องความรักแล้วทั้งสองก็ผล็อยหลับไป ต่อมาเมื่อเจ้าชายมารินตื่นขึ้นเบื้องหน้าหญิงสาว ก็ทิ้งเพียงพวงดอกไม้ไว้บนตักของหญิงสาวที่หลับใหล แล้วพระองค์ก็ทรงม้า และเดินจากไปพร้อมกับผู้ติดตาม ระหว่างการเดินทาง เจ้าชายหนุ่มก็มาถึงพระราชวังสีทองที่ประดับประดาด้วยบุษราคัม พระองค์จึงถามชายคนแรกที่พระองค์พบว่าในวังนั้นมีเจ้าหญิงสาวอาศัยอยู่หรือไม่? ด้วยความบังเอิญชายคนนั้นเป็นพระราชาเจ้าของวัง พระราชาคนนั้นได้กล่าวถึงตัวเองและสามารถอวดได้ว่ามีเจ้าหญิงที่มีเสน่ห์ที่สุด พระองค์เคยได้ยินข่าวเกี่ยวกับ หน้าตาที่หล่อเหลา และความร่ำรวยของเจ้าชายแห่งเมืองแจสซี่องค์นี้ และสรุปได้อย่างง่ายดายว่านี่จะเป็นคนอื่นไปไม่ได้นอกจากมารินเจ้าชายหนุ่ม ดังนั้นพระองค์จึงตอบด้วยความเต็มใจว่า “ใช่ เจ้าหญิงเล็กซานดราอาศัยอยู่ที่นี่ และ ข้าเป็นพระบิดาของนาง” เจ้าชายมารินได้ยินเรื่องนี้ด้วยความยินดี และพระราชาก็ขอให้พากันเข้าไปในวังด้วยความคิดที่จะมอบเจ้าหญิงเล็กซานดราให้

The invitation was given, and after some days' sojourn, and finding that the Princess was as lovely as she was good, and that he had found favour in her eyes, he set off with his future father-in-law, and intended bride, in a chariot to present her to his parents at Jassy.

เมื่อได้รับคำเชิญและหลังจากพักอยู่หลายวันและเจ้าชายก็พบว่าเจ้าหญิงมีความน่ารักเสมอด้วยกันกับคุณความดีของนางและพระองค์ก็ได้รับความโปรดปรานในสายตาของเจ้าหญิง จากนั้นเจ้าชายจึงออกเดินทางพร้อมกับพ่อตาในอนาคตและเจ้าสาวที่ตั้งใจไว้ด้วยรถม้าเพื่อไปแนะนำทั้งสองแด่พระบิดาพระมารดาของพระองค์ที่แจสซี่


ภาพยามิช่วยชาร์ลอตต์ โรสเลย์ จากคำสาปหนามกุหลาบ ในฐานะตระกูลเจ้าหญิงนิทรา

ที่มา https://aminoapps.com/c/blackclover079/page/item/charlotte-roselei/rEM8_NkFqIrdvjDo0L0mNpr5WXMM4j87ZV

*     *     *      *      *

The rose maiden on awaking, finding herself alone, and with but a bunch of flowers for her only companions, sighed and said, "dear little flowers, why have you made me sleep so long, and why have you separated me from my beloved?" Rising from the ground, she went up to the rose tree, and striking it, said:

สาวกุหลาบตื่นขึ้นพบว่าตัวเองอยู่ตามลำพัง และมีเพียงพวงดอกไม้เป็นเพื่อนเพียงคนเดียวของเธอ ถอนหายใจแล้วพูดว่า “พวงดอกไม้เล็กๆ ที่รัก ทำไมเธอถึงทำให้ฉันหลับไปนานนัก และทำไมเธอถึงแยกฉันจากคนรักของฉัน? " เธอลุกขึ้นจากพื้นดินขึ้นไปที่ต้นกุหลาบและกล่าวกับต้นกุหลาบนั้นว่า

I pray thee, sweet and loved rose tree,

Open thy bark, make place for me."

ไหว้วอนแก้ว กุหลาบรัก รสแสนหวาน

เปิดกลีบบาน เบิกศรี คามสีมาข้า

but the rose tree would not unfold itself, and only answered, "Go away, my pretty maiden, for you have sinned and can no more enter here."

แต่ต้นกุหลาบไม่คลี่ออก และตอบเพียงว่า “ไปเสียเถิดสาวงามของข้า เพราะเจ้าทำสิ่งที่เป็นมลทิน และไม่สามารถเข้ามาที่นี่ได้อีก”

Weeping, she turned aside, and seeing that she could no more be received in the bosom of the rose tree, seizing a staff she set off on the same road as that which the young Marin had taken. After going some distance she met with a Monk, and entreated him to exchange with her his rough frock and cowl, in return for her rich dress. He accepted willingly; the maiden wrapped herself in his garment and went on her way. On the confines of a wood, being very weary, she seated herself under the shade of a large elm, in order to take a little rest; shortly after, she saw in the distance a chariot drawn by eight horses approaching, and as it drew near, she recognised her faithless lover.

เธอร้องไห้สะอึกสะอื้นและเมื่อเห็นว่า ต้นกุหลาบไม่สามารถรับเธอไว้ในอ้อมอกของมันได้อีก เธอจึงคว้าไม้เท้าจากนั้นเธอก็เดินไปตามถนนสายเดียวกับที่เจ้าชายหนุ่มมารินได้จากไป หลังจากไปได้ไกลแล้วเธอก็พบกับนักบวชรูปหนึ่ง และวิงวอนให้เขาแลกกับเสื้อผ้าและผ้าคลุมที่หยาบๆ กับเธอ เพื่อแลกกับชุดอันหรูหราราคาแพงของเธอ นักบวชรูปนั้นยอมรับด้วยความเต็มใจ หญิงสาวสวมเสื้อผ้าของตน (ปลอมตนเป็นนักบวช) แล้วเดินไป บนผืนป่าด้วยความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้ามาก เธอนั่งอยู่ใต้ร่มเงาของต้นเอล์ม (หรือเอ็ลม เป็นต้นไม้ดึกดำบรรพ์ในยุโรป ขอบใบเป็นยัก ๆ คล้ายรูปจักร) ขนาดใหญ่ เพื่อพักผ่อนสักหน่อย ไม่นานหลังจากนั้น เธอเห็นรถม้าแปดตัวที่ลากเข้ามาในระยะใกล้ และเมื่อมันเข้ามาใกล้ เธอจำคนรักของเธอ (เจ้าชายมาริน) ได้อย่างไม่เชื่อ

ภาพใบและเปลือกต้นเอล์ม

ที่มา https://www.gardeningchores.com/elm-tree-identification/

"Good day, young Monk," said Marin. "I thank thee, Highness," said the Monk, approaching the carriage. "From whence come you?" said Marin. "From the valley," said the Monk. "What did you see there?" asked the Prince. "Nothing, very extraordinary," said the Monk, "only near to a large rose tree, there was a beautiful girl weeping, and on my enquiring the cause of her grief, she told me her history." "Repeat it to us," said Marin, visibly moved. "This was what she told me," said the Monk, "that her home had been in a rose tree, where she was loved and nurtured; that coming out one day in search of flowers, she met with a young Prince, who begged a flower from her waist, which she gave him." Now the Monk looked fixedly at the Prince, but the latter bade him go on with the story. "Then he asked a flower from her mouth to kiss, and then for her love, and she gave even that also." "Go on," said the Prince.

อรุณสวัสดิ์ นักบวชหนุ่ม” เจ้าชายมารินกล่าว

 “ข้าขอบพระทัยพระองค์ท่าน ฝ่าบาท” นักบวช (สาวกุหลาบ) กล่าวขณะเข้าใกล้รถม้า

 “คุณมาจากไหน” เจ้าชายมาริน กล่าว

“จากหุบเขา” นักบวช (สาวกุหลาบ) กล่าว

 “คุณเห็นอะไรที่นั่น” เจ้าชายถาม

 นักบวชกล่าว "ไม่มีอะไร พิเศษมาก"

นักบวชกล่าว "ใกล้กับต้นกุหลาบขนาดใหญ่เท่านั้น มีสาวสวยร้องไห้ และเมื่อข้าถามถึงสาเหตุของความเศร้าโศก เธอเล่าถึงประวัติของเธอแก่ข้า"

“พูดอีกให้เราฟังสิ” เจ้าชายมารินพูดด้วยการเคลื่อนไหวท่าทีอย่างเห็นได้ชัด

เธอบอกข้าอย่างนี้ว่า “บ้านของเธออยู่ในต้นกุหลาบ ที่ซึ่งรักและเลี้ยงดูเธอ วันหนึ่งจะออกมาเด็ดดอกไม้ เธอได้พบกับเจ้าชายหนุ่มผู้อ้อนวอนขอดอกไม้จากเอวของเธอซึ่งเธอมอบให้เขา”

บัดนี้พระนักบวชมองดูองค์ชายอย่างแน่วแน่ แต่คนหลังบอกให้เขาดำเนินเรื่องต่อไป “แล้วเจ้าชายก็ขอดอกไม้จากปากเธอจูบ แล้วก็ขอความรักของเธอ และเธอก็ให้สิ่งนั้นด้วย” ว่าต่อไปเถอะ” เจ้าชายตรัส


ภาพต้นเอล์ม

ที่มา https://hmong.in.th/wiki/Ulmus


"Sitting hand in hand amongst the flowers, sleep overtook them; but when the maiden awoke she found herself deserted, and only a bunch of flowers on her lap. Going to the rose tree, she repeated the rhyme which would open its bark to admit her into its body; but the rose tree remained solid and firm, because she was no longer worthy to enter within, and for this the young girl was weeping alone, and in misery." "Is that all?" said the Prince. "So far as I know, for I left her crying in the field." "To what town are you going, my good Monk?" asked the Prince. "To the same as your Highness, to Jassy," said he. "Jump into our carriage, then," said the Prince, opening the door and making place for him. The Monk accepted readily, and during the whole of their journey, the Prince questioned him for further news of the young maiden.

นั่งจับมือกันท่ามกลางดอกไม้ นอนหลับทันมัน แต่เมื่อหญิงสาวตื่นขึ้น เธอพบว่าตัวเองถูกทิ้งให้โดดเดี่ยว และมีเพียงช่อดอกไม้บนตักของเธอเท่านั้น ต่อจากนั้นเธอไปที่ต้นกุหลาบ เธอท่องคำที่จะเปิดเปลือกของมันออกอีกครั้ง เพื่อยอมรับเธอเข้าไปในร่างของมัน แต่ต้นกุหลาบยังคงแข็งขืนและมั่นคง เพราะเธอไม่คู่ควรที่จะเข้าไปข้างในอีกต่อไป และด้วยเหตุนี้เด็กสาวจึงร้องไห้อยู่คนเดียวและอยู่ในความทุกข์ยาก"

"นั่นหมดแล้วหรือ?" เจ้าชายกล่าว

“เท่าที่ฉันรู้ เพราะฉันปล่อยให้เธอร้องไห้อยู่ในทุ่ง” “ท่านจะไปเมืองใดนักบวชผู้สูงส่ง  เจ้าชายถาม

“เช่นเดียวกับฝ่าบาท ไปเมืองแจสซี่เขากล่าว

“งั้นก็ไป....ขึ้นรถม้าของเราสิ” เจ้าชายตรัส พร้อมเปิดประตูและจัดที่สำหรับต้อนรับนักบวชนั้นมาโดยทันที และตลอดการเดินทาง เจ้าชายได้สอบถามข่าวคราวของสาวกุหลาบคนนั้นเพิ่มเติม

Arrived in the Capital, and at the home of Marin, he invited the Monk to be his guest, and gave him a room next to his own in the palace. Yet in three days this marriage with the Princess Lexandra was to take place, and still Marin could not forget the rose maiden, and each evening on passing the door of the Monk, he would stay to talk about her. At length the wedding day approached, and the Monk disappeared.

มาถึงเมืองหลวงและที่พระราชวังของเจ้าชายมาริน พระองค์ได้เชิญนักบวชมาเป็นแขกของพระองค์และให้จัดให้พักที่ห้องถัดจากของพระองค์เองในพระราชวัง ทว่าในอีกสามวันการแต่งงานกับเจ้าหญิงเล็กซานดราก็จะเกิดขึ้น เจ้าชายมารินก็ไม่สามารถลืมสาวกุหลาบได้ และทุกเย็นเมื่อผ่านหน้าประตูห้องของนักบวชหนุ่ม พระองค์จะประทับอยู่เพื่อพูดคุยเกี่ยวกับสาวกุหลาบกับนักบวชหนุ่ม เมื่อวันวิวาห์ใกล้เข้ามา นักบวชหนุ่มก็หายตัวไป

One evening, the Prince stopped as usual at the Monk's door, hoping to hear more of the deserted maiden; but for answer he only heard a muffled sigh! Breaking open the door, he saw the poor Monk suspended by a cord to a large book on the wall; cutting him down, and taking off the Monk's frock, underneath it the golden hair and the pale face of the rose maiden met his view. Then he called the King and Queen-his parents, and exclaimed, "Look! this is my Princess, do what you will with the other."

เย็นวันหนึ่ง เจ้าชายก็หยุดอยู่ที่หน้าประตูห้องของนักบวชหนุ่มเหมือนเช่นเคย โดยหวังว่าจะได้ยินเรื่องของหญิงสาวที่ถูกทอดทิ้งมากขึ้น แต่สำหรับคำตอบนั้นเขาได้ยินแต่เสียงถอนหายใจเบา ๆ เท่านั้น! เมื่อเปิดประตูออกก็เห็นนักบวชผู้น่าสงสารถูกแขวนด้วยเชือกที่ปลายข้างหนึ่งถูกผูกติดหนังสือเล่มใหญ่ไว้บนผนังห้อง เจ้าชายรีบตัดเชือกเพื่อช่วยเขาลงมา และถอดเสื้อคลุ่มของนักบวชออก ภายใต้นั้นมีเรือนผมสีทองและใบหน้าซีดของสาวกุหลาบปรากฏในสายตาของพระองค์ จากนั้นพระองค์ก็เรียกพระราชาและพระราชินี – พระบิดาและมารดาของพระองค์มาพร้อมอุทานว่า "ดูนี่สิ นี่คือเจ้าหญิงของข้า (สาวกุหลาบจะเป็นเจ้าสาวของเขา) ทำในสิ่งที่ควรที่พระองค์ท่านต้องการกับอีกคนหนึ่ง (จัดการอะไรไปก็ได้กับเจ้าหญิงเล็กซานดรา)"

So the Princess Lexandra was sent back home with her father, and with great riches, enough for her dower, and the rose maiden was married to the Prince Marin, and they had many children and lived very happily ever after.

ดังนั้นเจ้าหญิงเล็กซานดรากับพระบิดาของพระนางจึงถูกส่งกลับเมืองพร้อมด้วยทรัพย์สมบัติมากมายเพียงพอสำหรับการขออภัยต่อเจ้านคร และเจ้าหญิงกุหลาบก็แต่งงานกับเจ้าชายมาริน และพวกพระองค์ก็มีพระโอรสพระธิดามากมายและใช้ชีวิตอย่างมีความสุขไปชัวนิจนิรันดร

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น